เมนู

อรรถกถาทสกนิบาต



อรรถกถากาฬุทายีเถรคาถาที่ 1



ในทสกนิบาต มีคาถาของท่านพระกาฬุทายีเถระ ว่า องฺคาริโน
ดังนี้เป็นต้น. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นเป็นอย่างไร ?
ในกาลแห่งพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ ท่านพระ-
กาฬุทายีเถระแม้นี้ เกิดในเรือนอันมีสกุล ในพระนครหังสวดี เมื่อฟัง
พระธรรมเทศนาของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุรูปหนึ่ง ไว้
ในตำแหน่งแห่งผู้ทำสกุลให้เลื่อมใส แล้วทำกรรมตั้งความปรารถนาเพื่อ
ตำแหน่งนั้นแล้ว.
เขาทำกุศลกรรมจนตลอดชีวิตแล้ว ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและ
มนุษยโลก จึงถือปฏิสนธิในเรือนอำมาตย์ ในกรุงกบิลพัสดุ์นั้นแล ในวัน
เดียวกันกับพระโพธิสัตว์ของพวกเราถือปฏิสนธิในพระครรภ์พระมารดา,
เกิดก็เกิดในวันเดียวกันกับพระโพธิสัตว์เหมือนกัน ดังนั้น ในวันนั้น
นั่นแหละ พวกญาติจึงให้เด็กนั้นนอนบนเทริดที่ทำด้วยเนื้อผ้าดีชนิดหนึ่ง
พากันนำไปสู่ที่บำรุงของพระโพธิสัตว์.
จริงอยู่ สหชาติ 7 เหล่านั้นคือ ต้นโพธิพฤกษ์ 1 พระมารดาของ
พระราหุล 1 ขุมทรัพย์ทั้ง 4 ขุม 1 ช้างตระกูลอาโรหนิยะ 1 ม้า
กัณฐกะ 1 นายฉันนะ 1 กาฬุทายี 1 ได้เกิดพร้อมดับพระโพธิสัตว์
เพราะเกิดในวันเดียวกันนั่นแล. ครั้นในวันตั้งชื่อ พวกญาติก็พากันตั้งชื่อ
เขาว่าอุทายี เพราะเกิดในวันที่ชาวพระนครทั้งสิ้นมีจิตรื่นเริงเบิกบาน แต่

เพราะมีผิวพรรณค่อนข้างดำไปหน่อย จึงปรากฏชื่อว่า กาฬุทายี. กาฬุ-
ทายีนั้น ถึงความเจริญขึ้นแล้ว เมื่อจะเล่นตามประสาเด็ก ก็เล่นกับพระ-
โพธิสัตว์.
ต่อมาภายหลัง เมื่อพระโลกนาถเจ้าเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์แล้ว
บรรลุพระสัพพัญญุตญาณตามลำดับ ทรงประกาศพระธรรมจักรอันบวร
ให้เป็นไปแล้ว ทรงอาศัยกรุงราชคฤห์ ประทับอยู่ในพระเวฬุวันมหาวิหาร,
พระเจ้าสุทโธทนะมหาราชทรงสดับความเป็นไปนั้นแล้ว ทรงส่งอำมาตย์
ผู้หนึ่ง มีบุรุษ 1,000 คน เป็นบริวารไป ด้วยตรัสสั่งว่า จงนำลูกเรา
มาในที่นี้. กาฬุทายีอำมาตย์นั้นไปเฝ้าพระศาสดาในเวลาทรงแสดงธรรม
จึงยืนฟังธรรมอยู่ข้างท้ายบริษัท พร้อมด้วยบุรุษก็บรรลุพระอรหัต.
ลำดับนั้น พระศาสดาจึงทรงเหยียดพระหัตถ์ ตรัสกะทุกคนนั้น
ว่า พวกเธอ จงเป็นภิกษุมาเถิด. ในขณะนั้นนั่นเอง คนทั้งหมด
ก็ทรงบาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ ได้เป็นดังพระเถระมีอายุ 60 ปี
ก็จำเดิมแต่บรรลุพระอรหัตแล้ว พระอริยะทั้งหลายก็เป็นผู้มีตนเป็นกลาง,
เพราะฉะนั้น จึงมิได้กราบทูลแด่พระทศพลให้ทรงทราบ ถึงสาสน์ที่
พระราชาส่งไป. พระราชาทรงดำริว่า ส่วนแห่งกำลังคนที่มอบหมาย
หน้าที่ให้ ก็ไม่ยอมกลับมา ข่าวสาสน์ก็ไม่ได้ยินเลย, ดังนี้แล้ว จึงทรงส่ง
อำมาตย์อีกคนหนึ่ง พร้อมด้วยบุรุษ 1,000 คนไปอีก. เมื่ออำมาตย์นั้น
ปฏิบัติตามกันอย่างนั้น พระราชาจึงทรงส่งอำมาตย์คนอื่นไปอีก รวมส่ง
บุรุษถึง 9,000 คน พร้อมกับอำมาตย์อีก 9 คน ด้วยประการฉะนี้, คน
ทั้งหมดบรรลุพระอรหัตแล้ว ก็พากันนิ่งเฉยเสีย.
ลำดับนั้น พระราชาทรงดำริว่า คนมีประมาณตั้งเท่านี้ ช่างไม่มี

ความรักเยื่อใยในเราเสียเลย ไม่ยอมกราบทูลคำอะไร ๆ แด่พระทศพล
เพื่อการเสด็จมาในที่นี้, แต่อุทายีคนนี้แล เป็นผู้มีวัยเสมอกันกับพระ-
ทศพล เคยร่วมเล่นฝุ่นมาด้วยกัน และจักมีความรักเยื่อใยในเรา เราจัก
ส่งเจ้าคนนี้ไป ดังนี้ จึงทรงมีรับสั่งให้เรียกอุทายีนั้นมาแล้ว ตรัสว่า
พ่อคุณเอ๋ย ! พ่อ พร้อมด้วยบุรุษเป็นบริวาร 1,000 คน จงไปยังกรุง
ราชคฤห์แล้ว นำพระทศพลมาให้ได้ ดังนี้แล้ว จึงทรงส่งไป. ฝ่าย
กาฬุทายีอำมาตย์นั้น เมื่อจะไปจึงกราบทูลว่า ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลี
พระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม หากข้าพระองค์จักได้การบวชไซร้
ข้าพระองค์จึงจักนำพระผู้มีพระภาคเจ้ามาในที่นี้ ดังนี้ มีพระดำรัสตอบว่า
เธอจะทำอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ขอให้แสดงบุตรแก่เราก็แล้วกัน ดังนี้แล้ว
จึงไปยังกรุงราชคฤห์ พอดีในเวลาพระศาสดาทรงแสดงธรรม จึงยืนฟัง
ธรรมอยู่ข้างท้ายบริษัท พร้อมด้วยบริวารก็บรรลุพระอรหัต ดำรงอยู่ใน
ความเป็นเอหิภิกขุ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทาน1ว่า :-
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ เชษฐ-
บุรุษของโลก ผู้คงที่ เสด็จดำเนินทางไกล เที่ยวจาริก
ไปในเวลานั้น เราได้ถือเอาดอกปทุม ดอกอุบล และ
ดอกมะลิซ้อนอันบานสะพรั่ง และถือข้าวสุกชั้นพิเศษมา
ถวายแด่พระศาสดา พระมหาวีรชินเจ้า เสวยข้าว
ชั้นพิเศษ อันเป็นโภชนะที่ดี และทรงรัดดอกไม้นั้นแล้ว
ทรงยังเราให้รื่นเริงว่า ผู้ใดได้ถวายดอกปทุมอันอุดม
เป็นที่ปรารถนา เป็นที่น่าใคร่ในโลกนี้แก่เรา ผู้นั้นทำ


1. ขุ. อ. 32/ข้อ 36.

กรรมที่ทำได้ยากนัก ผู้ใดได้บูชาดอกไม้ และได้ถวาย
ข้าวชั้นพิเศษแก่เรา เราจักพยากรณ์ผู้นั้น ท่านทั้งหลาย
จงฟังเรากล่าว ผู้นั้นจักได้เสวยเทวรัชสมบัติ 18 ครั้ง
ดอกอุบล ดอกปทุม และดอกมะลิซ้อน จะมีในเบื้องบน
ผู้นั้น ด้วยผลแห่งบุญนั้น ผู้นั้นจักสร้างหลังคาอันประกอบ
ด้วยของหอมอันเป็นทิพย์ไว้ในอากาศ จักทรงไว้ในเวลา
นั้น จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ 25 ครั้ง จักได้เป็น
พระราชาในแผ่นดินครอบครองพสุธา 500 ครั้ง ในกัปที่
แสน พระศาสดามีพระนานว่าโคดม ซึ่งมีสมภพในวงศ์
พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติในโลก ผู้นั้นปรารถนา
ในกรรมของตน อันกุศลมูลตักเตือนแล้ว จักได้เป็นบุรุษ
ผู้มีชื่อเสียง ทำความเพลิดเพลินให้เกิดแก่เจ้าศากยะ
ทั้งหลาย แต่ภายหลังผู้นั้นอันกุศลมูลตักเตือนแล้วจักบวช
จักกำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว ไม่มีอาสวะ นิพพาน
พระโคดมผู้เผ่าพันธุ์ของโลก จักทรงตั้งผู้นั้นซึ่งบรรลุ
ปฏิสัมภิทา ได้ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่มีอาสวะใน
เอตทัคคสถาน ผู้นั้นมีตนส่งไปแล้วเพื่อความเพียร สงบ
ระงับ ไม่มีอุปธิ จักเป็นสาวกของพระศาสดา มีนามว่า
อุทายี เรากำจัดราคะ โทสะ โมหะ มานะ และมักขะ
ได้แล้ว กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว ไม่มีอาสวะอยู่ เรา
ยังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ทรงโปรดปราน มีความเพียร
มีปัญญา และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเลื่อมใส ทรง

ตั้งเราไว้ในเอตทัคคสถาน คุณวิเศษเหล่านี้ คือปฏิสัมภิทา
4 ...ฯลฯ... คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเราได้ทำเสร็จ
แล้ว ดังนี้.

ก็ท่านพระกาฬุทายี ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว จึงคิดว่า รอก่อน
กาลนี้ยังไม่สมควร เพื่อการเสด็จไปสู่พระนครอันเป็นสกุลเดิมของพระ-
ทศพล, แต่เมื่อถึงฤดูฝนแล้ว ไพรสณฑ์จะมีดอกไม้บานสะพรั่ง จึงจัก
เป็นกาลเหมาะเพื่อการเสด็จไป บนภูมิภาคที่ดารดาษด้วยติณชาติเขียวขจี
ดังนี้แล้ว จึงเฝ้ารอกาล เมื่อถึงฤดูฝนแล้ว พอจะพรรณนาชมหนทางไป
เพื่อการเสด็จไปยังพระนครอันเป็นสกุลเดิมของพระศาสดา จึงกล่าวคาถา1
เหล่านี้ว่า :-
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ หมู่ไม้ทั้งหลาย มีดอก
และใบสีแดงดุจถ่านเพลิง ผลิผลสลัดใบเก่าร่วงหล่นไป
หมู่ไม้เหล่านั้นงดงามรุ่งเรื่องดุจเปลวเพลิง ข้าแต่พระองค์
ผู้มีความเพียรใหญ่ เวลานี้เป็นเวลาสมควรอนุเคราะห์หมู่
พระญาติ ข้าแต่พระองค์ผู้แกล้วกล้า หมู่ไม้ทั้งหลายมี
ดอกบานงดงามดี น่ารื่นรมย์ใจ ส่งกลิ่นหอมพุ่งตลบไป
ทั่วทิศโดยรอบ ผลัดใบเก่า ผลิดอกออกผล เวลานี้เป็น
เวลาสมควรจะหลีกออกไปจากที่นี้ ขอเชิญพระพิชิตมาร
เสด็จไปสู่กรุงกบิลพัสดุ์เถิด ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ฤดูนี้
ก็เป็นฤดูที่ไม่หนาวนัก ไม่ร้อนนัก เป็นฤดูพอสบาย ทั้ง
มรรคาก็สะดวก ขอพวกศากยะและโกลิยะทั้งหลาย จง


1. ขุ. เถร. 26/ข้อ 370.

ได้เข้าเฝ้าพระองค์ที่แม่น้ำโรหิณี อันมีปากน้ำอยู่ทางทิศใต้
เถิด ชาวนาไถนาด้วยความหวังผล หว่านพืชด้วยความ
หวังผล พ่อค้าผู้เที่ยวหาทรัพย์ ย่อมไปสู่สมุทรด้วยความ
หวังทรัพย์ ข้าพระองค์อยู่ในที่นี้ ด้วยความหวังผลอันใด
ขอความหวังผลอันนั้น จงสำเร็จแก่ข้าพระองค์เถิดชาวนา
หว่านพืชบ่อย ๆ ฝนตกบ่อย ๆ ชาวนาไถนาบ่อย ๆ แว่น
แคว้นสมบูรณ์ด้วยธัญญาหารบ่อย ๆ พวกยาจกเที่ยวขอ
ทานบ่อย ๆ ผู้เป็นทานบดีให้บ่อย ๆ ครั้นให้บ่อย ๆ
แล้ว ย่อมเข้าถึงสวรรค์บ่อย ๆ บุรุษผู้มีความเพียร มี
ปัญญากว้างขวาง เกิดในสกุลใด ย่อมยังสกุลนั้นให้
บริสุทธิ์สะอาดตลอด 7 ชั่วคน ข้าพระองค์ย่อมเข้าใจว่า
พระองค์เป็นเทพเจ้าประเสริฐกว่าเทพเจ้าทั้งหลาย ย่อม
ทรงสามารถทำให้สกุลบริสุทธิ์ เพราะพระองค์เกิดแล้ว
โดยอริยชาติ ได้สัจนามว่า เป็นนักปราชญ์ สมเด็จ
พระบิดาของพระองค์ ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ทรง
พระนามว่าสุทโธทนะ สมเด็จพระนางเจ้ามายาพระมเหสี
ของพระเจ้าสุทโธทนะ เป็นพระพุทธมารดา ทรงบริหาร
พระองค์ผู้เป็นพระโพธิสัตว์มาด้วยพระครรภ์ เสด็จ
สวรรคตไปบันเทิงอยู่ในไตรทิพย์ สมเด็จพระนางเจ้า
มายาเทวีนั้น ครั้นสวรรคตจุติจากโลกนี้แล้ว ทรงพรั่ง-
พร้อมด้วยกามคุณอันเป็นทิพย์ มีหมู่นางฟ้าห้อมล้อม
บันเทิงอยู่ด้วยเบญจกามคุณ อาตมภาพเป็นบุตรของพระ-

พุทธเจ้า ผู้ไม่มีสิ่งใดจะย่ำยีได้ มีพระรัศมีแผ่ซ่านจาก
พระกาย ไม่มีผู้จะเปรียบปาน ผู้คงที่ ดูก่อนมหาบพิตร
พระองค์เป็นพระบิดาของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นพระบิดาแห่ง
อาตมภาพ ดูก่อนมหาบพิตร พระองค์เป็นพระอัยกา
ของอาตมภาพโดยธรรม.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า องฺคาริโน ได้แก่ถ่านเพลิง ซึ่งแปลว่า
ดุจถ่านเพลิง, ชื่อว่า องฺคาริโน เพราะอรรถว่า หมู่ไม้ทั้งหลายเหล่านั้น
มีดอกและใบ มีสีดังแก้วประพาฬแดง, อธิบายว่า ดุจฝนถ่านเพลิง เกลื่อน
กล่นด้วยตุ่มดอกไม้โกสุมสีแดงเข้ม.
บทว่า อิทานิ แปลว่า ในกาลนี้.
บทว่า ทุมา แปลว่า ต้นไม้ทั้งหลาย.
บทว่า ภทนฺเต ได้แก่ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอความเจริญจงมีแก่ท่าน
เพราะเหตุนั้น ท่านผู้ประกอบด้วยคุณวิเศษ เขาจึงเรียกว่า ภทนฺเต
เพราะทำการลบ อักษรเสียอักษรหนึ่ง, แต่พระศาสดาเป็นผู้เลิศกว่าผู้
ประกอบด้วยคุณวิเศษทั้งหลาย. เพราะฉะนั้น คำว่า ภทนฺเต จึงเป็นคำ
ร้องเรียกสำหรับพระศาสดา. ก็คำว่า ภทนฺเต นี้ เป็นคำปฐมาริภัตติ มี
ที่สุดอักษรเป็น เอ ดุจในประโยค เป็นต้นว่า ถ้าทำกรรมดีบ้าง กรรม
ชั่วบ้าง ก็ได้รับความสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ดังนี้. แต่ในที่นี้ บัณฑิตพึงเห็นว่า
ภทนฺเต ลงในอรรถว่า การตรัสรู้ชอบ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
ภทนฺเต เป็นอาลปนะ อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ภทนฺต ศัพท์เดียวที่มี
ในระหว่างบท มีความหมายเสมอกับ ภทฺท ศัพท์.

ชื่อว่า ผเลสิโน เพราะอรรถว่า ย่อมต้องการเผล็ดผล. อธิบายว่า
จริงอยู่ แม้เมื่อไม่มีเจตนา แต่กลับยกขึ้นสู่กิริยาที่มีเจตนาแล้ว กล่าว
เหมือนปรารภที่จะเด็ดผล จนถึงเวลาที่เด็ดเอาผลอันเผล็ดแล้ว ย่อมมุ่งจะ
ให้เหล่ากอสูญสิ้นไปฉะนั้น.
บทว่า ฉทนํ วิปฺปหาย ได้แก่ สลัดใบไม้เก่า ๆ คือใบไม้เหลือง
ทั่วไปทิ้งเสีย. บทว่า เต โยค ทุมา แปลว่า ต้นไม้เหล่านั้น.
บทว่า อจฺจิมนฺโต ว ปภาสยนฺติ ความว่า ย่อมส่องสว่างทั่วทุกทิศ
ดุจเปลวไฟ หรือดุจกองไฟที่ลุกโพลง.
บทว่า สมโย ได้แก่กาล คือกาลพิเศษแห่งคำว่า เพื่ออนุเคราะห์.
บทว่า มหาวีร ได้แก่ ข้าแต่พระองค์ผู้มีความกล้าหาญมาก.
บทว่า ภาคี รสานํ ได้แก่ ผู้มีส่วนแห่งอรรถรส สมจริงดังคำที่
พระธรรมเสนาบดีกล่าวไว้ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์เป็น
ผู้มีส่วนแห่งอรรถรส และธรรมรส ดังนี้เป็นต้น . ก็คำว่า มหาวีร ภาคี
แม้นี้ บัณฑิตพึงทราบทั้งสองคำว่า กล่าวมุ่งถึงการตรัสรู้. ก็พระราชา
องค์ต้น ชื่อว่า ภคีรถ ในปาฐะว่า ภาคีรถานํ, อธิบายว่า พวกเจ้าศากยะ
เป็นพระราชาก่อน เพราะตั้งวงศ์ก่อนกว่าเขา เพื่ออุปการะพระราชา
เหล่านั้น.
บทว่า ทุมานิ ท่านกล่าวไว้โดยความเป็นลิงควิปลาส, ได้แก่ ทุมา
แปลว่า ต้นไม้ทั้งหลาย.
บทว่า สมนฺตโต สพฺพทิสา ปวนฺติ ความว่า หมู่ไม้ทั้งหลาย มี
ดอกบานแล้ว ในทิศทั้งปวง โดยรอบ คือโดยทุกพื้นที่ เพราะบานแล้ว
อย่างนั้น จึงส่งกลิ่น คือปล่อยกลิ่นหอมฟุ้งไปทุกทิศ.

บทว่า อาสมานา ได้แก่ หวังอยู่ คือต้องการจะเก็บเอาผล. พระ-
เถระครั้นแสดงถึงความรื่นรมย์แห่งหนทางที่จะไป เพราะงดงามด้วยหมู่ไม้
อย่างนี้แล้ว บัดนี้จึงแสดงถึงความสมบูรณ์แห่งฤดู ด้วยคำว่า เนวาติสีตํ
ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า สุขา ฤดูที่สบาย คือน่าปรารถนา เพราะความเป็นฤดูไม่
หนาวนัก ไม่ร้อนนัก.
บทว่า อุตุ อทฺธนิยา ได้แก่ ฤดูประกอบด้วยหนทางไกล ที่ควรไป.
บทว่า ปสฺสนฺตุ ตํ สากิยา โกลิยา จ ปจฺฉามุขํ โรหินิยํ ตรนฺตํ
ความว่า แม่น้ำชื่อว่า โรหิณี มีปากน้ำอยู่ทางทิศใต้ ไหลไปทางทิศเหนือ
ระหว่างสากิยะชนบทและโกลิยะชนบท. และไหลจากทิศตะวันออกเฉียงใต้
แห่งแม่น้ำนั้นไปยังกรุงราชคฤห์ เพราะฉะนั้น เมื่อจะข้ามแม่น้ำจากกรุง
ราชคฤห์ไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ จึงต้องข้ามที่ปากน้ำทางทิศใต้. เพราะเหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า ปสฺสนฺตุ ตํ ฯเปฯ ตรนฺตํ ดังนี้เป็นต้น. พระเถระพยายาม
อ้อนวอนพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อการเสด็จไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ว่า ชาว
สากิยะและโกลิยะชนบท จะเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อล่วงถึงปากแม่น้ำ
โรหิณี ทางทิศใต้.
บัดนี้ พระเถระเมื่อจะประกาศความปรารถนาของตนด้วยข้ออุปมา
จึงกล่าวคาถาว่า อาสาย กสเต ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า อาสาย กสเต เขตฺตํ ความว่า ชาวนา เมื่อจะไถนา ก็
ไถนาด้วยความหวังผล.
บทว่า พีชํ อาสาย วปฺปติ ความว่า ก็ครั้นไถแล้ว เมื่อจะหว่าน
พืช ก็หว่าน คือหยอดพืชด้วยความหวังผล

บทว่า อาสาย วาณิชา ยนฺติ ความว่า พวกพ่อค้าผู้แสวงหาทรัพย์
ย่อมแล่นเรือไปสู่มหาสมุทร เพื่อข้ามมหาสมุทร คือเพื่อเข้าไปยังประเทศ
หนึ่ง ด้วยความหวังทรัพย์.
บทว่า ยาย อาสาย ติฏฺฐามิ ความว่า พระเถระกราบทูลว่า ข้าแต่
พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ข้าพระองค์ก่อยู่ในที่นี้ด้วยความหวัง คือความ
ปรารถนาผลอันใด คือด้วยความต้องการจะให้พระองค์เสด็จไปกรุงกบิล-
พัสดุ์, ขอความหวังข้อนั้นของข้าพระองค์จงสำเร็จเถิด. พระองค์ควร
เสด็จไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ได้แล้ว ดังนี้, ก็ในข้อนี้ พระเถระกล่าวถึงความ
พอใจคือความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะทำว่า อาสา เพราะเป็นเช่นกับความหวัง.
พระเถระเพื่อจะแสดงถึงเหตุแห่งการอ้อนวอนตั้งหลายครั้ง โดยมี
การพรรณนาถึงหนทางที่จะเสด็จไปเป็นต้น จึงกล่าวคำว่า ปุนปฺปุนํ ดังนี้
เป็นอาทิ.
ความแห่งบาทคาถานั้นว่า :- เมื่อหว่านพืชด้วยเพียงการหว่านครั้ง
เดียวยังไม่สมบูรณ์ พวกชาวนา ย่อมหว่านพืชบ่อย ๆ คือหว่านซ้ำเป็น
ครั้งที่ 2 ที่ 3 อีก, แม้เทพเจ้าผู้เป็นเจ้าแห่งฝนไม่ตกครั้งเดียวเท่านั้น
แต่ตกบ่อย ๆ คือตกตามฤดูกาลที่สมควร. ถึงพวกชาวนา ก็มิใช่ไถนา
เพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่ไถนาบ่อยๆ เพื่อทำดินให้ร่วน หรือทำโคลนให้
เป็นเทือก อันจะมีประโยชน์ทำให้ข้าวกล้าสมบูรณ์, แว่นแคว้นย่อมเข้าถึง
คือเข้าถึงความสมบูรณ์ด้วยธัญญาหาร มีข้าวสาลีเป็นต้นบ่อย ๆ ที่พวก
มนุษย์น้อมนำเข้าไป ด้วยอำนาจการเก็บไว้ในยุ้งฉางเป็นต้น เพราะทำการ
สงเคราะห์ธัญชาติครั้งเดียวเท่านั้น ไม่ยินดีว่า เท่านี้ก็เพียงพอละ.
แม้พวกยาจกเที่ยวไป คือเข้าไปขอยังสกุลทั้งหลายบ่อย ๆ มิใช่ขอ

เพียงครั้งเดียวเท่านั้น, ฝ่ายพวกทานบดี ที่ถูกพวกยาจกเหล่านั้นขอแล้ว
ก็ให้บ่อย ๆ มิใช่ให้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น.
ก็พวกทานบดี ครั้นให้ไทยธรรมบ่อย ๆ อย่างนั้นแล้ว คือสั่งสม
บุญที่สำเร็จด้วยทานไว้แล้ว ย่อมเข้าถึงสวรรค์บ่อย ๆ คือไป ๆ มา ๆ
ได้แก่ ย่อมเข้าไปถึงเทวโลก ด้วยอำนาจการถือปฏิสนธิ, อธิบายว่า
เพราะฉะนั้น แม้ข้าพระองค์ ก็จะอ้อนวอนบ่อย ๆ ข้าแต่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ขอพระองค์จงยังมโนรถของข้าพระองค์ให้ถึงที่สุดเถิด.
บัดนี้ พระเถระอ้อนวอนพระศาสดา จะให้เสด็จไปยังกรุงกบิล-
พัสดุ์เพื่อประโยชน์ใด เพื่อจะแสดงซึ่งประโยชน์นั้น จึงกล่าวคาถาว่า
วีโร หเว ดังนี้เป็นต้น.
ความแห่งบาทคาถานั้นว่า :- บุรุษผู้มีความเพียร มีความอาจหาญ
มีปัญญากว้างขวาง คือมีปัญญามากเกิด คือเกิดในสกุลใด ย่อมชำระต้น
ในสกุลนั้นตลอด 7 ชั่วคนคือคู่แห่งบุรุษ 7 จนถึงปิตามหยุคะที่ 7 ให้
บริสุทธิ์สะอาดด้วยสัมมาปฏิบัติ โดยส่วนเดียว เพราะเหตุนั้น จะป่วย
กล่าวไปไยถึงวาทะของชาวโลก ที่เป็นคำติเตียน จักมีในชนเหล่าอื่นเล่า.
ข้าพระองค์ย่อมเข้าใจว่า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์เป็น
เทพเจ้าผู้ประเสริฐ เพราะพระองค์เป็นเทพเจ้าผู้สูงสุดกว่าเทพเจ้าทั้งปวง
ย่อมทรงอาจสามารถเพื่อทำสกุลแม้ที่นอกเหนือไปกว่านั้นให้บริสุทธิ์ได้
ด้วยการห้ามเสียจากความชั่ว และด้วยการให้ดำรงอยู่ในความดี.
เพราะเหตุไร ? เพราะพระองค์เกิดแล้วโดยอริยชาติ ได้สัจนามว่า
เป็นนักปราชญ์ อธิบายว่า เพราะความที่พระองค์ผู้พระศาสดาเกิดแล้ว
โดยอริยชาติ เป็นนักปราชญ์ พระองค์เป็นผู้รู้ จึงได้พระนามตามความ

จริงว่า มุนี เพราะอรรถว่า รู้ประโยชน์ส่วนพระองค์ และประโยชน์
ส่วนสังคม และเพราะอรรถว่า รู้ซึ่งโลกนี้และโลกหน้า. อีกอย่างหนึ่ง
ผู้มีความรู้ ชื่อว่ามุนิ, พระองค์มีพระนามตามความเป็นจริงว่า สมณะ
บรรพชิต ฤาษี ดังนี้ ฉะนั้น ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะเหตุแห่ง
การได้เฉพาะซึ่งประโยชน์โดยส่วนเดียว แก่ปวงสัตว์ ข้าพระองค์จึงทูล
อ้อนวอนพระองค์ เพื่อการเสด็จไปในกรุงกบิลพัสดุ์นั้น.
บัดนี้ เมื่อพระเถระกล่าวว่า สตฺตยุคํ ดังนี้แล้ว เพื่อจะแสดงยุคะ
แห่งบิดา จึงกล่าวคำว่า สุทฺโธทโน นาม ดังนี้เป็นต้น. ชื่อว่า สุทฺโธทโน
เพราะอรรถว่า ผู้มีข้าวบริสุทธิ์เป็นชีวิต. จริงอยู่ พระพุทธบิดา ผู้มีกาย
สมาจาร วจีสมาจาร และมโนสมาจาร อันบริสุทธิ์พิเศษ โดยส่วนเดียว
จึงเป็นผู้มีอาชีพอันบริสุทธิ์ดี เพราะพระองค์เป็นผู้เพียบพร้อมด้วยอภินิหาร
อย่างนั้น.
บทว่า มายนามา ได้แก่ ได้นามว่ามายา เพราะพระองค์มีพระคุณ
ที่หมู่ญาติและมิตรเป็นต้น จะพึงกล่าวว่า อย่าไปเลย ดังนี้ เหตุสมบูรณ์
ด้วยคุณ มีสกุล, รูปร่าง, ศีล และมารยาท เป็นต้น.
บทว่า ปริหริยา แปลว่า ประคับประคอง.
บทว่า กายสฺส เภทา ได้แก่ เบื้องหน้าแต่กายของตนล่วงลับไป
ก็เป็นเช่นกับเจดีย์ของชาวโลก พร้อมทั้งเทวโลก.
บทว่า ติทิวมฺหิ ได้แก่ ในดุสิตเทวโลก.
บทว่า สา โยค มายาเทวี แปลว่า สมเด็จพระนางเจ้ามายาเทวีนั้น .
บทว่า โคตมี ความว่า พระเถระ ระบุถึงพระนางเจ้า โดย
พระโคตร.

บทว่า ทิพฺเพหิ กาเมหิ ได้แก่ ด้วยวัตถุกามอันเป็นทิพย์ ที่นับ
เนื่องด้วยภพชั้นดุสิต,
บทว่า สมงฺคิภูตา แปลว่า ประกอบพร้อมแล้ว.
บทว่า กามคุเณหิ ได้แก่ด้วยส่วนแห่งกามคุณทั้งหลาย, ก็ครั้น
กล่าวว่า กาเมหิ ดังนี้แล้ว จึงแสดงว่า ย่อมบำรุงบำเรอด้วยวัตถุกาม
อันมีส่วนมากมาย ด้วยคำว่า กามคุเณหิ ดังนี้.
บทว่า เตหิ ความว่า บังเกิดแล้วในหมู่เทพชั้นใด อันหมู่เทพ
ชั้นดุสิตเหล่านั้น ห้อมล้อมหรือบันเทิงอยู่ด้วยกามคุณเหล่านั้น. ก็คำว่า
สมงฺคิภูตา ปริวาริตา นี้ ท่านแสดงเป็นอิตถีลิงค์ ที่หมายถึงอัตภาพใน
กาลก่อนซึ่งสำเร็จเป็นหญิง หรือหมายถึงความเป็นเทวดา, ส่วนการอุปบัติ
ของเทพเกิดโดยความเป็นบุรุษเท่านั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ถูกพระเถระอ้อนวอนแล้วอย่างนั้น ทรงเห็นว่า
ประชาชนเป็นอันมากจะได้บรรลุคุณวิเศษ ในเพราะการเสด็จไปในกรุง
กบิลพัสดุ์นั้น จึงมีพระขีณาสพ 20,000 รูปแวดล้อมแล้ว เสด็จดำเนิน
ไปยังหนทางที่จะไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ โดยการเสด็จออกจากกรุงราชคฤห์
ไม่รีบด่วนนัก . พระเถระเข้าไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ด้วยฤทธิ์ ยืนท่ามกลาง
อากาศ ข้างหน้าพระราชา พระราชาทรงเห็นเพศที่ไม่เคยเห็นมาก่อน จึง
ตรัสถามว่า ท่านเป็นใคร เมื่อจะแสดงว่า ถ้าพระองค์จำอาตมภาพผู้เป็น
บุตรอำมาตย์ที่พระองค์ส่งไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้ไซร้ ขอพระองค์
จงทรงรู้อย่างนี้เถิด ดังนี้ จึงกล่าวคาถาสุดท้ายว่า
อาตมภาพ เป็นบุตรของพระพุทธเจ้า ผู้ไม่มีสิ่งใด
ย่ำยีได้ มีพระรัศมีแผ่ซ่านจากพระกาย ไม่มีผู้เปรียบปาน

ผู้คงที่ ดูก่อนมหาบพิตร พระองค์เป็นพระบิดาของพระ-
พุทธเจ้า ผู้เป็นพระบิดาแห่งอาตมภาพ ดูก่อนมหาบพิตร
พระองค์เป็นพระอัยกาของอาตมภาพโดยธรรม.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พุทฺธสฺส ปุตฺโตมฺหิ ความว่า อาตมภาพ
เป็นบุตรผู้เป็นโอรส ของพระสัพพัญญูพุทธเจ้า เพราะเกิดในอก.
บทว่า อสยฺหสาหิโน ความว่า ชื่อว่าไม่มีใครจะย่ำยีได้ เพราะคน
เหล่าอื่น ไม่อาจเพื่อจะอดกลั้นนำไปซึ่งพระมหาโพธิสัตว์ เว้นไว้แต่ใน
กาลก่อนแต่การตรัสรู้ คือเพราะการอดกลั้น การนำไปซึ่งโพธิสมภาร
และบุญญาธิการที่เป็นส่วนพระมหากรุณาทั้งสิ้น ใคร ๆ ย่ำยีไม่ได้, แม้ที่
ยิ่งไปกว่านั้น เพราะข่มครอบงำมาร 5 ที่ใคร ๆ ไม่อาจจะครอบงำได้
เด็ดขาด เพราะคนเหล่าอื่นไม่สามารถจะข่มครอบงำได้ และเพราะอดทน
ต่อพุทธกิจ ที่คนเหล่าอื่นอดทนไม่ได้ กล่าวคือคำพร่ำสอน ด้วยทิฏฐ-
ธรรมิกัตถประโยชน์ สัมปรายิกัตถประโยชน์ และปรมัตถประโยชน์ แก่
เวไนยสัตว์ผู้สมควร ด้วยการหยั่งรู้ถึงการจำแนกสัตว์ต่าง ๆ ตามอาสยะ
อนุสัย จริต และอธิมุตติ เป็นต้น. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า อสัยหสาหิโน
เพราะความที่พระองค์ทรงบำเพ็ญคุณงามความดีในข้อนั้นไว้.
บทว่า องฺคีรสสฺส ได้แก่ เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยพระคุณมีศีลที่พระองค์
ทรงบำเพ็ญมาแล้วเป็นต้น. อาจารย์พวกอื่นกล่าวว่า มีพระรัศมีแผ่ซ่าน
ออกจากพระวรกายทุกส่วน ดังนี้. ส่วนอาจารย์บางพวกกล่าวว่า ชื่อ
2 ชื่อ คือพระอังคีรส และพระสิทธัตถะ นี้ พระพุทธบิดาเท่านั้น ทรง
ขนานพระนามถวาย.

บทว่า อปฺปฏิมสฺส ได้แก่ ไม่มีผู้เปรียบเสมอ. ชื่อว่า ตาทิโน
เพราะสมบูรณ์ด้วยพระลักษณะที่คงที่ ในอิฏฐารมณ์ และอนิฏฐารมณ์.
บทว่า ปิตุปิตา มยฺหํ ตุวํสิ ความว่า โดยโลกโวหาร พระองค์
เป็นพระบิดาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นพระบิดาของอาตมภาพ โดย
อริยชาติ.
พระเถระเรียกพระราชาโดยชาติว่า สกฺก.
บทว่า ธมฺเมน ได้แก่โดยสภาวะ คืออริยชาติ และโลกิยชาติ.
พระเถระเรียกพระราชาโดยพระโคตรว่า โคตม.
บทว่า อยฺยโกสิ ความว่า พระองค์เป็นพระบิดาใหญ่ (ปู่). ก็
ในคาถานี้ พระเถระเมื่อจะกล่าวคำเริ่มต้นว่า พุทฺธสฺส ปุตฺโตมฺหิ ดังนี้
จึงได้พยากรณ์ความเป็นพระอรหัตไว้.
ก็พระเถระครั้นแสดงตนให้พระราชาทรงรู้จักอย่างนั้นแล้ว ได้รับ
การนิมนต์จากพระราชาผู้ทรงเบิกบานสำราญพระทัย ให้นั่งบนบัลลังก์อัน
มีค่ามากแล้ว พระราชาก็ทรงบรรจุโภชนะมีรสเลิศต่าง ๆ ที่เขาจัดแจงไว้
เพื่อพระองค์ ถวายแล้ว จึงแสดงอาการจะไป. ก็เมื่อพระราชาตรัสถามว่า
เพราะเหตุไร ท่านจึงประสงค์จะไปเสียเล่า ? จงฉันก่อนเถอะ. พระเถระ
จึงตอบว่า อาตมภาพจักไปเฝ้าพระศาสดาแล้ว จึงจักฉัน. พระราชาตรัส
ถามว่า ก็พระศาสดาประทับอยู่ที่ไหน ? พระเถระตอบว่า พระศาสดามี
ภิกษุจำนวนประมาณ 20,000 รูป กำลังเสด็จดำเนินมาตามหนทาง เพื่อ
เฝ้าพระองค์แล้ว. พระราชาตรัสว่า นิมนต์ท่านฉันบิณฑบาตนี้เสียก่อน
ที่บุตรของเราจะมาถึงพระนครนี้ แล้วถึงค่อยนำบิณฑบาตจากที่จนไปเพื่อ
บุตรของเราตอนหลัง.

พระเถระ กระทำภัตกิจเสร็จแล้ว บอกธรรมถวายแด่พระราชา
และบริษัท ก่อนหน้าพระศาสดาเสด็จมานั่นเทียว ก็ทำคนในพระราช
นิเวสน์ ทั้งหมดให้เลื่อมใสในพระรัตนตรัย เมื่อคนทั้งหมดกำลังเห็นอยู่
นั่นแหละ ก็ปล่อยบาตรที่เต็มด้วยภัตร อันคนนำมาเพื่อถวายพระศาสดา
ในท่ามกลางอากาศ แม้ตนเองก็เหาะขึ้นสู้เวหาแล้ว น้อมเอาบิณฑบาต
เข้าไปวางบนพระหัตถ์ ถวายพระศาสดา. พระศาสดาทรงเสวยบิณฑบาต
นั้นเสร็จแล้ว. เมื่อพระเถระเดินทางวันละ 1 โยชน์ สิ้นหนทาง 100 โยชน์
อย่างนี้ นำเอาภัตตาหารจากกรุงราชคฤห์มาถวายแด่พระศาสดา.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตั้งเธอไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่า
ภิกษุทั้งหลาย ผู้ทำสกุลให้เลื่อมใสว่า เธอทำตนในพระราชนิเวศน์ทั้งหมด
ของพระมหาราชเจ้าผู้พระบิดาของเรา ให้เลื่อมใสได้ ดังนี้แล.
จบอรรถกถากาฬุทายีเถรคาถา

2. เอกวิหาริยเถรคาถา


ว่าด้วยคาถาของพระเอกวิหาริยเถระ


[371] ถ้าไม่มีผู้อื่นอยู่ข้างหน้าหรือข้างหลังเรา ความสบาย
ใจอย่างยิ่งคงจะมีแก่เราผู้อยู่ในป่าผู้เดียว มิฉะนั้น เรา
ผู้เดียวจักไปสู่ป่าอันพระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญว่า ความ
ผาสุกย่อมมีแก่ภิกษุผู้อยู่แต่ผู้เดียว มีใจเด็ดเดี่ยว เรา
ผู้เดียวเป็นผู้ชำนาญในสิ่งที่เป็นประโยชน์ จักเข้าไปสู่ป่า
ใหญ่ อันทำให้เกิดปีติแก่พระโยคาวจร น่ารื่นรมย์ เป็น
ที่อยู่ของหมู่ช้างตกมัน โดยเร็วพลัน เราผู้เดียวจักอาบน้ำ
ในซอกเขาอันเยือกเย็น ในป่าอันเย็น มีดอกไม้บาน
สะพรั่ง จักจงกรมให้เป็นที่สำราญใจ เมื่อไรเราจึงจักได้
อยู่ในป่าใหญ่อันน่ารื่นรมย์แต่ผู้เดียว ไม่มีเพื่อนสอง จัก
เป็นผู้ทำกิจสำเร็จ หาอาสวะมิได้ ขอความประสงค์ของ
เราผู้ปรารถนาจะทำอย่างนี้จงสำเร็จเถิด เราจักยังความ
ประสงค์ของเราให้สำเร็จจงได้ ผู้อื่นไม่อาจทำผู้อื่นให้
สำเร็จได้เลย.
เราจักผูกเกราะคือความเพียร จักเข้าไปสู่ป่าใหญ่
เรายังไม่บรรลุถึงความสิ้นอาสวะแล้ว จักไม่ออกไปจาก
ป่านั้น เมื่อลมพัดเย็นมา กลิ่นดอกไม้ก็หอมฟุ้งมา เรา
จักนุ่งอยู่บนยอดเขาทำลายอวิชชา เราจักได้รับความสุข
รื่นรมย์อยู่ด้วยวิมุตติสุข ในถ้ำที่เงื้อมเขาซึ่งดารดาษไป